วันนี้เราจะมาพูดกันถึง ขั้นตอนการ Mastering สำหรับมือใหม่หัดทำเพลงกันครับ ว่ามันคืออะไร และทำไมต้องมีขั้นตอนนี้ Mastering คือขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการทำเพลง เพราะมันจะทำให้เพลงนั้น สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความดัง และสามารถฟังได้ในทุกๆ Platform ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ มือถือ หูฟัง และระบบเสียงอื่นๆ เพราะอย่าลืมว่า ระบบเสียงแต่ละที่ มีความแตกต่างกัน กระบวนการ Mastering จึงเป็นกระบวนการสุดท้าย และเป็นกระบวนการ ที่สำคัญ กระบวนการนึงในการทำเพลงครับ
การ Mastering จะประกอบ 3 ปัจจัยหลักๆ นั้นก็คือ
Enhancement Process
เป็นการเพิ่มสิ่งที่สิ่งต่างๆลงไปในเพลงของเรา เช่น การ EQ เพื่อเพิ่มโทนเสียงในเพลงของเรา การใส่ Compressor เพื่อสร้าง Dynamic ในเพลงของเรา การใส่ Effect ต่างๆ อย่างเช่น Saturation เพื่อเพิ่ม Harmonic และความ Warmth ให้กับเพลงของเรา และการปรับความกว้างให้กับเพลงของเราครับ ซึ่งขั้นตอน Enhancement Proccess ถือว่าเป็นขั้นตอนที่เราจะทำการเพิ่มเติม สิ่งต่างๆลงไปในดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดครับ ต่อไปขั้นตอนที่ 2 นั้นก็คือ
Loudness Process
มันคือขั้นตอน ที่เราจะต้องดูในส่วนของความดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความของเพลงในแต่ละแนว และความดังของ Platform ต่างๆครับ ซึ่งความดังในแต่ละแนวเพลง จะเป็นความดังในรูปแบบ LUFS อย่างเช่น
เพลง EDM อยู่ที่ -4.0 ถึง -6.0 LUFS
เพลง HipHop อยู่ที่ -9.0 ถึง -6.0 LUFS
เพลง R&B อยู่ที่ -8.0 LUFS
เพลง Pop อยู่ที่ -9.60 LUFS
ส่วนต่อมานั้นก็คือ ความดังของค่า LUFS ในแต่ละ Platform ครับ เพื่อให้เพลงมีความดังที่เหมาะสมของ Platform นั้นๆ และยังไม่ถูก Platform นั้น Clip เสียงเพลงเรา เมื่อความดังของ LUFS เกินที่มันกำหนดครับ เพราะบาง Platform เขาจะทำ Limitng เสียงลงเมื่อมันเกินค่าที่เขากำหนดครับ แต่บาง Platform ก็จะทำการ ลด Decibel เสียงเท่านั้น เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ และไม่ทำให้เพลงเราเสีย ควรจะดูในส่วนของ LUFS ด้วยครับ เรามาดูค่า LUFS ในแต่ละ Platform กันครับ ว่าอยู่ที่เท่าไหร่
Spotify : -14 LUFS
YouTube : -13 ถึง -15 LUFS
Soundcloud : -8 ถึง -13 LUFS
Apple Music : -16 LUFS
Amazon Music : -9 ถึง -13 LUFS
Club Play : -6 ถึง -9 LUFS
Deezer -14 ถึง -16 LUFS
นี้ก็คือ Chart ตารางของ ค่า LUFS ต่างๆของ Platform ที่นิยมกันทั่วโลกครับ สามารถดู Chart นี้ได้เพื่อทำให้ค่า LUFS ตรงตาม Platform ที่เราต้องการจะลงครับ เราไปดูปัจจัยสุดท้ายในการทำ Mastering กันครับ
Audio Format
ปัจจัยสุดท้ายนั้นก็คือ การ Export File เพลงของเราจากโปรแกรมทำเพลงครับ Audio Format จะแบ่งออกด้วยกัน 2 ประเภท นั้นก็คือ Uncompressed และ Compressed Format ครับ เราไปดูกันที่ Uncompressed กันก่อนครับ
Uncompressed Format
WAV (รองรับทุกๆระบบปฎิบัติการ) WAV หรือ Waveform Audio File เป็นรูปแบบไฟล์ที่อยู่ในประเภท Uncompressored Audio หรือเรียกง่ายๆเป็นรูปแบบไฟล์ ที่ไม่ได้ถูกบีบอัดครับ จึงทำให้คุณภาพของเสียงในไฟล์ WAV มีคุณภาพสูง เหมาะสมกับ การทำเพลง ที่ใช้ต่างโปรแกรม รวมไปถึงการลง Streamimg Platform ต่างๆ
โดยที่คุณภาพของเสียงไม่ถูกบีบอัดใด ๆ ครับ
AIFF (ระบบปฎิบัติการ Mac OSX) AIFF เป็นไฟล์รูปแบบเดียวกับ WAV แต่จะใช้ได้ในระบบปฎิบัติการของ Mac OSX เท่านั้นครับ สามารถใช้ในการส่งไฟล์ ให้กับการทำงานที่ มากกว่า 2 คน อย่างเช่น Logic Pro X ไปอีกคนที่ใช้โปรแกรม Logic Pro X เหมือนกันครับ และสำหรับ Streaming Platfrom สามารถลงได้ใน Apple Music เท่านั้นครับ
Compressed Format
MP3 (รองรับทุกๆระบบปฎิบัติการ) ไฟล์เสียงที่ได้รับความนิยมที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งมันเป็นไฟล์ที่ถูกบีบอัดข้อมูลลงจากไฟล์ WAV ประมาน 10เท่า แต่ยังมีคุณภาพเสียงที่ดี และสามารถรองรับได้ทุกอุปกรณ์ครับ File ประเภทนี้จัดอยู่ในประเภทที่สามารถ Upload ได้ทุก Streaming Platform ครับ
FLAC (Lossless หรือ Hi-Res) FLAC หรือ Free Loosless Audio Codec เป็นระบบการบีบอัดข้อมูลสัญญาณเสียงลักษณะเดียวกับ MP3 แต่เป็นไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง ระบวนการบีบอัดข้อมูลเป็นแบบ Lossless จึงไม่ทำให้คุณภาพของเสียงลดลง เมื่อถูกบีบอัด ไฟล์ FLAC จึงเป็นอีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการ Export เพลง และยังสามารถ Upload ลง Streaming Platform ต่างได้ด้วยครับ ซึ่ง Streaming Platform เขาจะจัดให้เป็นการฟังในรูปแบบ Losless ทันที
เรื่องของคุณภาพเสียง FLAC นั้นใกล้เคียงกันมากครับ แต่ FLAC จะมีขนาดของไฟล์ที่ไม่เท่ากับไฟล์ WAV ไฟล์นี้จึงถูกนำมาใช้ในการ Upload บน Streaming Platform ต่างๆ เพราะ Streaming Platform เขาจำกัดขนาดของไฟล์ครับ ไฟล์ WAV บางเพลง อาจจะมีขนาดที่เกิน Streaming Platform จะกำหนด เขาจึงทำ FLAC มาเพื่อให้สามารถลงใน Streaming Platform ต่างๆ ได้โดยที่คุณภาพของเสียงยังคงดีอยู่ครับ
การ Export File ที่เหมาะสม
File Type : MP3,WAV
Bit Rate : 16Bit - 24Bit
Sample Rate : 44.1kHz - 48kHz
เราต้องดูในส่วนของ Format ในการ Export File เพราะมันมีผลต่อ คุณภาพเสียงของเพลงเราครับ ถ้าเรา Export เป็น WAV คุณภาพเสียงต่างๆ ก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ถ้าเรา Export File มาในรูปแบบ MP3 คุณภาพเสียงจะอยู่ระดับปานกลางครับ ซึ่งในปัจจุบัน Streaming Platform ต่างๆ ก็จะรับ Format File WAV และ MP3 ที่มีขนาดไม่เกิน 200MB และมีค่า Sample Rate ที่ 44.1kHz ขึ้นไปครับ ส่วนถ้าเป็น Apple Music Platform นี้สามารถใช้ File รูปแบบ AIFF ได้ครับ (ไฟล์สำหรับ Mac OSX โดยเฉพาะ) ใครที่ Export File เพลงก็อย่าลืมศึกษาและดูในส่วนของ Format ต่างๆด้วยครับ
การ Mastering เพลงเป็นอีกสิ่ง 1 ที่ไม่ควรมองข้ามครับ เพื่อให้เพลงออกมาสมบูรณ์มากที่สุดและดีที่สุด เพราะฉะนั้นขั้นตอนนี้ ควรจะศึกษาข้อมูลต่างๆ และทำออกมาให้เหมาะสมครับ สำหรับใครที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก หรืออยากจะจบงาน Mastering แบบคุณภาพ สามารถใช้ Tong Apollo Mastering Presets เป็นตัวช่วย ให้งานของคุณออกมามีคุณภาพระดับ Professional ใช้ได้กับทุกแนวเพลง และสามารถลงได้ทุก Platform แน่นอนครับ
Youtube : Tong Apollo Instagram : classabytongapollo Facebook : สอนทำเพลงออนไลน์ Class A by Tong Apollo TikTok : Class A by Tong Apollo
Comments