อีกหนึ่งปัญหาของการ Mix นั้นก็คือเรื่องของเสียงร้องที่ดังเกินไป เมื่อเสียงร้องดังเกินไปสิ่งที่ตามมาเลยนั้นก็คือ เราจะไม่ได้ยินเสียงองค์ประกอบหรือเครื่องดนตรีอื่นๆในเพลงเลย
รู้หรือไหมครับว่าการ Mix เสียงร้องที่ Producer ระดับ Professional เขาทำกัน เขาไม่ได้ดัน Volume Balance จนเยอะเกินไปครับ แต่เขาจะมีอยู่ 3 ข้อที่ Producer ระดับ Professional ทำ
นั้นก็คือ
1.ทำให้เสียงนั้นกว้างและชัดขึ้นโดยใช้ EQ (Equalizer)
การทำให้เสียงกว้างและชัดขึ้น สามารถทำได้โดยการใช้ EQ (Equalizer) ซึ่งการทำให้เสียงนั้นกว้างและชัดขึ้นสามารถช่วยให้เสียงร้องนั้น มีเสียงที่ดังขึ้นได้ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปยุ่งกับตัว Volume เลยครับโดยปกติแล้วระดับเสียง กับความคมชัดของเสียง มนุษย์สามารถได้ยินความคมชัดของเสียงที่ถูกปรับแต่ง EQ มาแล้ว เท่ากับระดับเสียงปกติเลยครับ เพราะฉะนั้นการปรับ EQ ให้กับเสียงร้อง ก็มีส่วนช่วยให้เสียงนั้นฟังง่ายขึ้นครับ
เพราะฉะนั้นการแต่งเสียงร้องด้วย EQ ไม่ว่าจะเป็นการดึงย่าน Air การปรับ EQ ต่างๆให้เสียงนั้นคมชัดขึ้นก็มีผล ทำให้ผู้ฟังนั้นรู้สึกถึงความดังโดยที่ไม่ต้องไปปรับ Volume ก็ได้ครับ
2.ใช้ Compressor ในการรักษา Dynamic Range ให้มีความสมํ่าเสมอ
อีกส่วนที่สามารถช่วยให้เสียงร้องนั้นสามารถดังขึ้นโดยไม่ต้องปรับ Volume มันนั้นก็คือการทำ Compressor ครับ ส่วนนี้ต้องแยกประเภทกันนะครับ เพราะบางคนอาจจะเข้าใจว่าการทำ Compressor นั้นคือการระดับเสียงให้ดังมากขึ้น เหตุผลที่เราใช้ Compressor ในการแต่งเสียงร้อง เพราะเสียงร้องนั้นเป็นอีกหนึ่งเสียงที่มี Dynamic Range ที่เราต้องจัดการครับ ยกตัวอย่างเช่น เสียงร้องในห้องแรก ความดังอาจจะไม่เท่ากับเสียงร้องในห้องที่ 3 หรืออาจจะไม่เท่ากันทุกห้องเลยก็ได้ครับ
เพราะฉะนั้นเราจะใช้ตัว Compressor นี้แหละครับในการจัดการเรื่องของ Dynamic Range ของเสียงที่มีความดังเบาไม่เท่ากัน ในทุกๆคำที่ร้องออกมาเลยครับ ซึ่งในการทำ Compressor หลักๆที่ใช้จะมี Attack,Release และ Threshold ครับ และการใส่ Compressor แนะนำว่าควรจะดูในส่วนของการใส่ Compressor ทับกับตัว Effects อื่นก่อนดีๆครับ ควรจะใส่ Compressor ไว้ทีหลังสุดหลังจากทำการ Volume Balance รวมไปถึงการเขียน Automation ให้กับระดับของเสียงร้องครับ
หรือจะใช้วิธีการทำ Mix Bus ก็ได้เช่นกันครับ
3.เอาย่านความถี่เสียงที่ทับกับเสียงร้องออก
อีกปัญหาที่จะพบเจอในการ Mix เลย นั้นก็คือเสียงของดนตรีหลายๆชนิดที่มีความถี่เสียงทับกัน โดยเฉพาะเสียงของเครื่องดนตรี ที่มีการเล่นพร้อมกันและมีโทนเสียงที่เหมือนกันครับ
ยกตัวอย่างเช่นเครื่องดนตรีที่เป็น เปียโนและกีต้าร์ครับ เมื่อย่านความถี่เสียงหรือโทนเสียงนั้นทับกัน กรณีนี้ย่านความถี่เสียงหรือโทนเสียงที่ทับกันก็สามารถฟังแล้วดูสมูทได้ หรือบางท่อนเพลงผู้ฟังจะสามารถฟังและแยกเสียงของเครื่องดนตรี 2 ชนิดได้ต่อเมื่อเป็นท่อน Solo ครับ แต่ในบางครั้งเสียงของเครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดนี้ ก็สามารถ กลบเสียงร้องของเราได้ครับ ซึ่งแน่นอนครับ เราต้องการให้เสียงร้องในเพลงของเรานั้นดังและชัดกว่าเครื่องดนตรีอื่นๆ เพราะฉะนั้น การทำ Volume Balance ให้กับเสียงเครื่องดนตรีนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญครับ
เราสามารถเปิด Track ของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดฟังดูว่าเครื่องดนตรีไหนดัง โดยการใช้วิธี Mute ครับ อย่าฟังแล้วปรับไปด้วยและฟังไปนานๆ เพราะเดี๋ยวหูเราปรับสภาพ เราจะรู้สึกว่าเสียงนั้นเบาเกินไปครับ เมื่อเสียงนั้นเบาเกินไป เราก็จะทำการเพิ่ม Volume Balance
ขึ้นมาอีกจนสุดท้ายเสียงของเครื่องดนตรีทั้งหมดก็ทับกันจนฟังแยกไม่ออกครับ แต่ถ้ารู้สึกว่าเราลด Volume ของเครื่องดนตรีแล้วยังมีเสียงที่ทับกับเสียงร้องอยู่ เราสามารถใช้ EQ เพื่อหาความถี่ของเสียงเครื่องดนตรี ที่มันทับกับเสียงร้องครับ
ให้เราปรับ EQ ของเครื่องดนตรีนั้น Boost ไปสัก 15dB และเปิดฟังดูภาพรวมทั้งหมดครับ ถ้าคิดว่าย่านความถี่นั้น มันยังทับกับเสียงร้องอยู่ ก็ทำการ Cut ในย่านนั้นลงได้เลยครับ แค่นีเก็จะทำให้เสียงร้องของเรานั้นดูเด่นขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปปรับ Volume Balance เลยครับ
นี้ก็คือเทคนิคการปรับเสียงระดับของเสียงร้องนะครับ เราก็สามารถลองไปปรับใช้ดูได้ ไม่จำเป็นจะต้องปรับแค่เฉพาะ Volume Balance อย่างเดียวครับ การใช้ EQ และ Compressor ช่วยก็มีผลให้เสียงร้องเราดังและคมชัดมากขึ้นครับ
แต่ถ้าใครอยากได้ความง่ายสะดวกสบาย แนะนำเป็น Tong Apollo Vocal Presets เลยครับ ประหยัดเวลาการทำงานและได้ผลลัพท์ที่ไม่ต่างจาก 3 ข้อนี้เลยครับ
Youtube : Tong Apollo
Instagram : classabytongapollo
Facebook : สอนทำเพลงออนไลน์ Class A by Tong Apollo
TikTok : Class A by Tong Apollo
#สอนทำเพลงออนไลน์ #แต่งเสียงร้อง #classabytongapollo
Comments