top of page

EQ แต่ละตัวเหมาะกับงานแบบไหน




EQ หรือ Equalizer

เป็นคำที่เพื่อนๆต้องเจอแน่นอน แม้ว่าจะไม่ใช่คนทำเพลง ก็ต้องผ่านตากับคำนี้มาบ้าง เพราะมันอยู่กับทุกอย่างที่มีเสียงทั้งแอพฟังเพลง ลำโพงโฮมเธียเตอร์ ขนาด TV ยังมี


EQ คือส่วนเสริมที่ใช้ในการปรับแต่งความถี่ของเสียง โดยทำให้เสียงมีความชัดเจน สมดุล เข้ากันได้กับเสียงอื่นๆ และใช้ปรับเพื่อตอบสนองรสนิยมโทนเสียงที่เราชอบ ซึ่งเป็นส่วนเสริมสำคัญอย่างมากในการทำเพลง เพราะเราต้องบาลานซ์เสียงแต่ละเสียง ปรับโทน ลดเสียงที่ไม่พึงประสงค์ออกไป เพื่อให้เพลงออกมาสะอาด เสียงดีในทุกย่านความถี่

คนทำเพลง ไม่ได้มี EQ ตัวเดียวแน่ๆ


และแน่นอนว่า โปรแกรมทำเพลง ปกติแล้ว ก็จะมี EQ มาเป็น Stock ปลั๊กอินให้ คนทำเพลงมือใหม่ ก็สามารถลองปรับ ลองเล่นจากตรงนั้นได้เหมือนกัน ให้เกิดความชิน รู้จักกับย่านต่างๆ จนรู้สึกอยากทำอะไรที่ Advance กว่านี้ค่อยหาซื้อ Third-Party มาใช้ และเชื่อได้เลยครับว่า เพื่อนๆที่ทำเพลงมาเกิน1ปี ต้องมีปลั๊กอิน EQ มากกว่า 2 ตัวแน่นอน


วันนี้เราจะมาแนะนำ Third-Party EQ ที่เขย่าวงการ การทำเพลง

ตัวไหนควรใช้กับงานอะไรบ้าง แล้วซื้อตัวไหนดี มาดูกันเลย





1. Fabfilter Pro-Q 3

ปลั๊กอิน EQ ที่ได้รับความนิยมและขายดีที่สุด ซึ่งก็เป็นตัวมาตรฐานได้เลยเพราะฟีเจอร์เยอะมากๆ เข้าได้กับทุกเสียง ใช้ได้กับทุกงาน ตั้งแต่ Track เดียว หรือจะ EQ ทั้ง Bus ก็ทำได้ดี จบงานคุมโทนเสียงใน Mastering ก็ยังได้

เรียกได้ว่าครบครัน มีความยืดหยุ่นและทันสมัย สามารถปรับแต่งเสียงได้หลากหลายรูปแบบ มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นเช่น Dynamic EQ, Mid/Side Processing , Auto-Gain และ Brickwall Filter และที่เด่นชัดเลย

คือมันมี EQ Match ที่จะไปขโมยโทนเสียงจาก Reference มาได้ และ Linear Phase สำหรับคนที่ไม่เคยซื้อปลั๊กอินนอก และกำลังจะซื้อตัวแรก เราก็แนะนำเลยนะครับตัวนี้

เราได้ทำคลิป 10สิ่งที่ควรรู้ ของ Pro Q 3 ไปด้วยนะ สามารถย้อนไปดูได้ที่ Class A 89 ได้เลย

ราคาอยู่ที่ $169 หรือ 58XX บาท


2. Plugin Boutique Scaler EQ

เป็น EQ ที่มีความ Unique สูง เพราะนอกจากจะ Detect คีย์และสเกลของเพลงได้ มันยังช่วยให้เราปรับความถี่ในสเกลที่ถูกต้องได้ด้วย ยังมาพร้อมกับ Dynamic EQ, Mid/Side และ Mono Freq + Stereo Width ที่จะเลือกย่านให้เป็นเสียง Mono และที่เหลือเป็น Stereo ได้ด้วย โดยรวมมองว่า EQ ตัวนี้เหมาะกับเสียงร้องอย่างมาก ที่ต้องมีการคลุมโทนเสียงและปรับให้เข้ากับดนตรี และยังสามารถใส่ใน Bus เครื่องดนตรี หรือคลุมย่านเสียงใน Mastering ก็ถือว่าทำได้ดีเลยนะครับ

ราคาอยู่ที่ $49 หรือ 17XX บาท





3. Eventide SplitEQ

ปลั๊กอิน EQ ที่ใช้เทคโนโลยี Transient/Sustain Split Processing ซึ่งสามารถแยกและปรับแต่งสัดส่วนของเสียงได้ แยกเป็น Transient และ Tonal ซึ่งมีความล้ำมากๆ แทบไม่เคยเจอ EQ ที่ทำแบบนี้ได้เลยในท้องตลาด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เช่น Stereo Width, Phase Invert, Mid/Side Mode และ Spectral Clipper ให้ด้วย ปลั๊กอินตัวนี้ค่อนข้างใช้เฉพาะจุด เช่นเสียงที่มีการกระแทกแล้วมีหางเสียง อย่างเสียงร้อง หรือเครื่องดนตรี รวมไปถึงกลองชุดด้วยนะ งานอื่นๆอาจจะไม่ได้ใช้แยก Transient มาก แต่ก็ถือว่าเป็นปลั๊กอิน EQ ที่ใช้จบงาน Mix ได้เลยครับ

ราคาอยู่ที่ $179 หรือ 61XX บาท


4. Sonible smart:EQ 4

EQ ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์และปรับแต่งเสียงให้เราอัตโนมัติ และเพิ่มความชัดเจนและสมดุลของเสียงได้ สามารถลดปัญหาเสียงต่างๆ ลดเวลาในการปรับแต่งเสียงได้เยอะมากๆ และยังมี Group ให้เราใส่เสียงต่างๆและ Learning พร้อมกันก็ได้ แล้วยังปรับในส่วนของ Layers เสียงได้ด้วยว่าอยากให้เสียงไหนเด่น อยู่ข้างหน้า อยู่ตรงกลาง หรือถอยไปข้างหลัง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เช่น Smart Filter และ Cross-Channel Processing ที่ปลั๊กจะ Detect ตัวเองได้ หากเราใส่ใน Channel อื่น เป็นปลั๊กอินที่ใช้ AI ได้คุ้มจริงๆ ใช้ได้ทุกเสียง ทุกเครื่องดนตรี เพราะคุณภาพที่ได้นั้นดีเกินคาด ใช้ได้ตั้งแต่เสียงเดียว ไปจนถึงทุก Track จบ Mix ได้แน่นอน เพราะมีแนวเพลงให้เลือกด้วย เพลงบางแนวอาจจะจบ Mastering ได้ด้วยนะ

ราคาอยู่ที่ $89 หรือ 30XX บาท



EQ แต่ละตัวก็มีราคาและฟีเจอร์ที่แตกต่างกันนะครับ

แล้วแต่งานของเราด้วย ว่าเราจะเอาไปทำอะไรนะครับ

และที่สำคัญ แล้วแต่งบของแต่ละคนด้วย

หากยังไม่มีทุนก็ใช้ Stock เพื่อฝึกฝนฝีมือก่อน มันก็ไม่ได้แย่นะครับ

แค่อาจจะไม่มีลูกเล่นอะไรเหมือนตัวเสียงเงินนะ

สุดท้าย ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆแล้วว่าจะใช้ EQ ทำอะไร ปลั๊กอินตัวนั้นก็จะเรียกหาเพื่อนๆเอง ^^


bottom of page